โรค โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร

วันที่โพสต์:
feature-image-blurfeature-image

เขียนโดย

แชร์บทความ

share-optionshare-optionshare-optionshare-option

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค

โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี โดย HIV ย่อมาจาก human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัส ในขณะที่ AIDS คือ acquired immune deficiency syndrome คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อเอชไอวีทำลาย จนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งเป็นอาการระยะท้ายๆของการติดเชื้อ แปลว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีหากรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่กลายเป็นเอดส์ ในขณะเดียวกัน หากมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแล้วรับการรักษาต่อเนื่อง ก็สามารถช่วยให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นจนพ้นจากสภาวะเอดส์ได้เช่นกัน คนสามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไมใช้ถุงยางอนามัย การส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการเสพยาเสพติดทางเส้นเลือด หรือการสักตามร่างกายก็ตาม

อาการของโรค

ผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีระดับภูมิคุ้มกัน CD4 ต่ำกว่า 200 (คนปกติจะมี CD4 500-1600) เมื่อถึงจุดนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกทำลายอย่างรุนแรงจนผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการที่แตกต่างกันไปตามการติดเชื้อที่เป็น โดยอาการที่มักพบร่วมได้บ่อย ประกอบด้วย

  • ปอดอักเสบ
  • ท้องเสียเรื้อรังนานกว่า 3 สัปดาห์
  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ
  • มีไข้ที่กลับมาเป็นซ้ำๆ หรือไข้ตอนกลางคืน
  • เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
  • มีผื่นจุดแดงหรือม่วงตามผิวหนัง ร่วมกับอาการคัน
  • ฝ้าขาวในช่องปากจากเชื้อรา
  • แผลที่ริมฝีปาก อวัยวะเพศและทวารหนัก
  • อาจมีก้อนบวมที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ เกิดจากต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น

แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค

ในทางปฏิบัติปกติ การตรวจยืนยันการติดเชื้อ HIV จะทำโดยการเจาะเลือดตรวจหาแอนตี้บอดี้ หรือสารภูมิต้านทานต่อเชื้อ ซึ่งในระยะแรกสุดหลังจากที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ การตรวจด้วยวิธีนี้อาจตรวจไม่พบ เนื่องจากเชื้อนี้มีระยะฟักตัวในการที่ร่างกายจะค่อยๆสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นมาจนมีปริมาณมากพอที่จะตรวจพบ โดยระยะฟักตัวหรือระยะแฝง (window period) นี้อาจแตกต่างกันได้ในแต่ละคนตั้งแต่ 3-6 เดือน เพราะฉะนั้นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงแล้วตรวจเลือดครั้งแรกเป็นลบ จึงควรตรวจซ้ำตามที่แพทย์นัดหมายเสมอ เพราะผลเลือดที่เป็นลบนั้นอาจจะเกิดจากการตรวจเลือดในระยะแฝงของเชื้อได้

แนวทางการดูแลรักษา

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่มียาหลายชนิดที่ช่วยรักษาอาการติดเชื้อเอชไอวี ก็คือ ยาต้านไวรัส (antiretroviral drugs หรือเรียกย่อว่า ARV) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคสู่คนอื่น โดยการรักษาต้องใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่ม ARV หลายชนิดรวมกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ และต้องกินยาตลอดชีวิต

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ

อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี

ข้อควรระวัง

หากมีอาการที่เข้าได้กับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องดังข้างต้น ร่วมกับมีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ควรมาปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาเสมอ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไปอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้นได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://med.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/25aug2020-1352 https://www.cdc.gov/hiv/basics/whatishiv.html

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

article-cover
  • อื่นๆ
  • ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya)

ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya)

ไข้ชิคุนกุนยา vs ไข้เลือดออก ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคชิคุนกุนยา เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ “ชิคุนกุนยาไวรัส” ติดต่อมาสู่คน โดยการถูกยุงลายกัด มีระยะฟักตัว ของโรคหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2–5 วัน มีอาการคล้ายกับไข้เลือดออก ต่างกันที่ ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นช็อก อาการของโรค * ไข้สูงเฉียบพลัน โดยมักมีไข้ประมาณ 2-4 วัน หลังจากนั้น ไข้จะลงอย่างรวดเร็ว * ปวดตามข้อ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้

article-cover
  • อื่นๆ
  • ไข้เลือดออก (Dengue fever)

ไข้เลือดออก (Dengue fever)

โรคมาพร้อมกับหน้าฝน โรคไข้เลือดออก ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคไข้เลือดออกเกิดจาก การติดเชื้อไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อจากผู้ป่วยแล้วไปกัดผู้ใด ก็จะถ่ายทอดเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคน และ ผ่านระยะฟักตัวนานประมาณ 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้ อาการของโรค * มีไข้สูงเฉียบพลัน ติดต่อกันประมาณ 3-8 วัน * หน้าแดง * ปวดศีรษะ บางคนจะบ่น ปวดรอบกระบอกตา * ปวดเมื่อยกล้า

article-cover
  • อื่นๆ
  • โรคฉี่หนู (Leptospirosis (uncomplicated))

โรคฉี่หนู (Leptospirosis (uncomplicated))

โรคฉี่หนู อันตรายที่มากับฝน ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจากสัตว์สู่คน เชื้อก่อโรคจะปนออกมากับฉี่ของสัตว์ต่างๆ โดยหนูจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญที่สุด จึงเรียกว่า โรคฉี่หนู แต่อย่างไรก็ตามสัตว์อื่นๆ อย่างเช่น สุนัข วัว ควาย ก็สามารถมีเชื้อ และ แพร่เชื้อมาสู่คนได้เช่นเดียวกัน (เชื้อนี้ไม่ทำให้สัตว์มีอาการป่วย) โดยเชื้อจะถูกขับออกมากับฉี่ของสัตว์เหล่านี้มาอยู่ในดินที่ชื้นแฉะ น้ำท่วมขัง หรือตามสวนไร่นาที่มีน้ำขัง และเชื้อก็จะมีชีวิตอยู่ในสิ่ง

article-cover
  • อื่นๆ
  • น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค น้ำตาลในเลือดต่ำ คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 mg/dl มักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลีย ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือยาฉีดอินซูลิน (Insulin) อาการของโรค ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกันไป อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ * เหงื่อแตกตัวเย็น * อ่อนเพลีย ไม่มีแรง * เวียนศีรษะ * ตาพร่ามัว * พูดจาสับสน * หากมีอาการรุนแรง อาจจะชัก หรือหมดสติได้ แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค อาศัยประวัติที่เข้าได้กั