โรค โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี โดย HIV ย่อมาจาก human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัส ในขณะที่ AIDS คือ acquired immune deficiency syndrome คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อเอชไอวีทำลาย จนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งเป็นอาการระยะท้ายๆของการติดเชื้อ แปลว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีหากรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่กลายเป็นเอดส์ ในขณะเดียวกัน หากมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแล้วรับการรักษาต่อเนื่อง ก็สามารถช่วยให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นจนพ้นจากสภาวะเอดส์ได้เช่นกัน คนสามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไมใช้ถุงยางอนามัย การส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการเสพยาเสพติดทางเส้นเลือด หรือการสักตามร่างกายก็ตาม
อาการของโรค
ผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีระดับภูมิคุ้มกัน CD4 ต่ำกว่า 200 (คนปกติจะมี CD4 500-1600) เมื่อถึงจุดนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกทำลายอย่างรุนแรงจนผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการที่แตกต่างกันไปตามการติดเชื้อที่เป็น โดยอาการที่มักพบร่วมได้บ่อย ประกอบด้วย
- ปอดอักเสบ
- ท้องเสียเรื้อรังนานกว่า 3 สัปดาห์
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ
- มีไข้ที่กลับมาเป็นซ้ำๆ หรือไข้ตอนกลางคืน
- เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- มีผื่นจุดแดงหรือม่วงตามผิวหนัง ร่วมกับอาการคัน
- ฝ้าขาวในช่องปากจากเชื้อรา
- แผลที่ริมฝีปาก อวัยวะเพศและทวารหนัก
- อาจมีก้อนบวมที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ เกิดจากต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
ในทางปฏิบัติปกติ การตรวจยืนยันการติดเชื้อ HIV จะทำโดยการเจาะเลือดตรวจหาแอนตี้บอดี้ หรือสารภูมิต้านทานต่อเชื้อ ซึ่งในระยะแรกสุดหลังจากที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ การตรวจด้วยวิธีนี้อาจตรวจไม่พบ เนื่องจากเชื้อนี้มีระยะฟักตัวในการที่ร่างกายจะค่อยๆสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นมาจนมีปริมาณมากพอที่จะตรวจพบ โดยระยะฟักตัวหรือระยะแฝง (window period) นี้อาจแตกต่างกันได้ในแต่ละคนตั้งแต่ 3-6 เดือน เพราะฉะนั้นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงแล้วตรวจเลือดครั้งแรกเป็นลบ จึงควรตรวจซ้ำตามที่แพทย์นัดหมายเสมอ เพราะผลเลือดที่เป็นลบนั้นอาจจะเกิดจากการตรวจเลือดในระยะแฝงของเชื้อได้
แนวทางการดูแลรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่มียาหลายชนิดที่ช่วยรักษาอาการติดเชื้อเอชไอวี ก็คือ ยาต้านไวรัส (antiretroviral drugs หรือเรียกย่อว่า ARV) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคสู่คนอื่น โดยการรักษาต้องใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่ม ARV หลายชนิดรวมกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ และต้องกินยาตลอดชีวิต
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
หากมีอาการที่เข้าได้กับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องดังข้างต้น ร่วมกับมีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ควรมาปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาเสมอ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไปอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้นได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://med.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/25aug2020-1352 https://www.cdc.gov/hiv/basics/whatishiv.html