โรค ซิฟิลิส ระยะที่หนึ่ง (Primary syphilis) เกิดจากอะไร และวิธีการรักษาเบื้องต้นเป็นอย่างไร


เขียนโดย
ข้อมูลโรคและสาเหตุการเกิดโรค
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาภายหลังได้ การดำเนินโรคในขั้นต้นโดยทั่วไปจะเริ่มจากบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก เรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ โรคซิฟิลิสอาจเป็นปัญหาที่ตรวจพบได้ยาก เนื่องจากการดำเนินโรคหลังจากได้รับเชื้อแล้ว เชื้อแบคทีเรียชนิดสามารถหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ภายในร่างกายเราได้เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะมีอาการแสดงขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งระยะนี้เรียกว่าระยะแฝง (Latent phase) หากเราสามารถตรวจพบการติดเชื้อนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ และหลังจากรักษาจนหายขาดแล้ว เราจะไม่เป็นโรคซิฟิลิสเว้นแต่ว่าจะได้รับเชื้อใหม่จากผู้ติดเชื้อรายอื่น
อาการของโรค
โรคซิฟิลิสมักจะแสดงอาการเริ่มต้นจากการมีแผลเล็กๆบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ที่เรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) เป็นแผลมีขอบนูนแข็ง แต่ไม่เจ็บ ก้นแผลดูสะอาด อาจมีต่อมน้ำเหลืองจะโตร่วมด้วย โดยแผลริมแข็งจะเกิดขึ้นหลังจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายประมาณ 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ชายแผลริมแข็งมักจะเกิดในบริเวณปลาย หรือลำอวัยวะเพศ ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทันสังเกต หรือไม่รู้ตัวว่ามีแผลเกิดขึ้น เนื่องจากแผลนี้จะไม่มีอาการปวด และ แผลอาจซ่อนอยู่ภายในช่องคลอด หรือทวารหนัก จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส แผลริมแข็งนี้โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพียงตำแหน่งเดียว โดยแผลริมแข็งจะสามารถหายเองได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แม้ไม่ได้ทำการรักษาใดๆ ก็ตาม แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย และสามารถแสดงอาการเป็นซิฟิลิสระยะที่สองได้ต่อไป
แนวทางการตรวจวินิจฉัยโรค
- แพทย์จะตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อ โดยใช้วิธีเจาะเลือดหาแอนติบอดี (Antibody) ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา โดยแอนติบอดีต่อเชื้อซิฟิลิสนี้จะคงอยู่ในร่างกายเราได้เป็นเวลานานหลายปี ทำให้การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถบ่งบอกการติดเชื้อในอดีตได้
- ในซิฟิลิสระยะหนึ่งและสอง แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเซลล์ จากบริเวณบาดแผลหรือบริเวณผื่นเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียได้
- ผู้ป่วยที่พบว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิส ควรตรวจเลือดหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆด้วย เช่น ไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นต้น รวมทั้งผู้ป่วยต้องแจ้งให้คู่นอนไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาเช่นเดียวกัน
แนวทางการดูแลรักษา
- ควรปรึกษาและรับการตรวจโดยแพทย์เสมอ
- รักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ แม้ว่าอาการของโรคในระยะแรกมักเกิดขึ้นแล้วหายไป หลังจากนั้นจะไม่แสดงอาการ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องก่อนโรคจะมีการพัฒนามากขึ้นจนรุนแรงต่อระบบอื่นในร่างกาย
- แนะนำให้ผู้ป่วยงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะจบการรักษา และผลตรวจเลือดของผู้ป่วยได้รับการยืนยันว่าหายขาดแน่นอนแล้ว
- แนะนำให้คู่นอนมารับการตรวจและรักษาด้วยเสมอ
- ผู้ป่วยควรรับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) เนื่องจากการป่วยเป็นโรคซิฟิลิสนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีที่สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย
แพทย์เฉพาะทางแนะนำ
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ, กุมารแพทย์ โรคติดเชื้อ กรณีอายุน้อยกว่า 15 ปี
ข้อควรระวัง
- หากผู้ป่วยไม่เข้ารับการรักษาโรคอย่างต่อเนื่องให้หายขาด อาการของโรคที่เข้าสู่ระยะสุดท้ายอาจพัฒนารุนแรงขึ้นได้เมื่อเชื้อไปอยู่ในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น อัมพาต โรคหัวใจ ตาบอด ภาวะสมองเสื่อม ไร้สมรรถภาพทางเพศ เสียสติ หูหนวก และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
- ในสตรีมีครรภ์อาจมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือทารกเสียชีวิตขณะแรกคลอด รวมไปถึงทารกอาจมีภาวะของโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดหากเชื้อมีการส่งผ่านจากแม่ไปยังทารก ทำให้เกิดปัญหาความผิดปกติในอวัยวะหลายส่วนหลังจากคลอดภายในไม่กี่สัปดาห์ เช่น กระดูก ดวงตา ฟัน สมอง การได้ยิน
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://siphhospital.com/th/news/article/share/974#:~:text=ซิฟิลิสเกิดจากแบคทีเรียที่,คือมีผื่นขึ้น%20หรือ https://www.cdc.gov/std/syphilis/stdfact-syphilis.htm